วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555


หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
ผ้าไหมสาเกตุ
ผ้าไหมไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมการแต่งกายที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีแหล่งสำคัญอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน
ประวัติการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยได้เริ่มขึ้นเมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๐๔
ได้มีการจัดตั้งสถานีทดลองและทำสวนหม่อน ขึ้นที่ตำบลศาลาแดง ภายใต้การดูแลของแผนกช่างสาวไหม กระทรวงเกษตราธิการ โดยมีชาวญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการและศึกษาวิจัย
ต่อมาได้มีการจัดตั้งศูนย์หม่อนไหมขึ้นในภาคอีสานหลายจังหวัด ปัจจุบันเมื่อมีโครงการส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ
ในพระบรมราชินูปถัมภ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เกิดกระแสนิยมผ้าไหมแพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ผ้าไหมแต่ละท้องถิ่นจะมีความแตกต่างกันเชิงความคิดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว
หลายจังหวัดมีการส่งเสริมเป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัด เช่น ผ้าไหมแพรวาจังหวัดกาฬสินธุ์ ผ้าไหมกาบบัวจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
ผ้าไหมสาเกต เป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด คำว่าสาเกต มาจากชื่อเมือง สาเกตนคร เป็นมงคลนามของเมืองโบราณอันเป็นที่ตั้งของเมืองร้อยเอ็ดในปัจจุบัน
ผ้าไหมสาเกตพัฒนามาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมของชาวเมืองร้อยเอ็ด มีหลายกลุ่มผู้ผลิตกระจายอยู่แทบทุกอำเภอ

แต่ละกลุ่มจะมีทักษะที่ถือเคล็ดลับในการมัดหมี่เพื่อประดิษฐ์ลายผ้า การย้อมสี การเลือกใช้เส้นไหม แตกต่างกันไป แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมสาเกต
คือ เป็นผืนผ้าไหมที่ทอให้เป็นผ้าพื้นสลับกับลายผ้าโบราณที่สอดรับกลมกลืนกันอย่างลงตัว ประกอบด้วยลายผ้าโบราณ ๕ ลาย
ซึ่งมีความหมายบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวเมืองร้อยเอ็ดได้เป็นอย่างดี ได้แก่
๑. ลายคองเอี้ย เป็นลายผ้าที่มีลักษณะเป็นเหมือนแม่น้ำลำคลอง เปรียบเสมือนสายเลือดที่เอื้ออำนวยต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของชุมชนเกษตรกร
๒. ลายนาคน้อย ลายที่มีลักษณะเป็นเหมือนพญานาคพ่นน้ำ มีความหมายว่าเป็นดินแดนที่มีความชุ่มชื้น ฝนตกต้องตามฤดูกาล ยังความอุดมสมบูรณ์ให้กับท้องไร่และผืนนา
๓. ลายโคมเจ็ด บ่งบอกถึงวิถีชีวิตชุมชนความเป็นอยู่ที่ดีของชาวเมือง ความเพิ่มพูนของผลผลิตทางการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ ความสดใสในชีวิต
เป็นเหมือนโคมไฟส่องสว่างสู่ความเจริญรุ่งเรืองมิรู้จบ
๔. ลายหมากจับ หมากจับเป็นเมล็ดพันธ์พืชชนิดหนึ่งชอบติดขากางเกง เมื่อติดแล้วแกะออกยาก สื่อความหมายว่าใครเมื่อได้พบเห็น สัมพันธ์กับชาวเมืองร้อยเอ็ดแล้ว
จะเกิดความประทับใจไม่รู้ลืม
๕. ลายค้ำเพา เป็นลายเส้นตรงที่ปรากฏบนผืนผ้า บ่งบอกถึงความมีจิตใจที่ซื่อตรง มุ่งมั่น แน่วแน่เข้มแข็ง มั่นคงและยั่งยืน อันเป็นอุปนิสัยโดดเด่นของชาวอีสาน
 


 
 

ประวัติวันเข้าพรรษา


ประวัติวันเข้าพรรษา ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษา เหล่าภิกษุสงฆ์จึงต่างพากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ต่อมาชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกสมณะไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน พระสงฆ์ที่เข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา"

แต่หากมีกรณีจำเป็นบางอย่าง พระภิกษุผู้จำพรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก็คือ
1.             การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.             การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
3.             การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
4.             หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้





เครื่องอัฏฐบริขารของภิกษุระหว่างการจำพรรษา
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น กว่าพระสงฆ์จะหาที่พักแรมได้ บางครั้งก็ถูกฝนเปียกปอน ชาวบ้านผู้ใจบุญจึงถวาย "ผ้าจำนำพรรษา" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน้ำฝน เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยน และยังถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันเป็นพิเศษในช่วงเข้าพรรษา จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุปํน












สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดร้อยเอ็ด


วนอุทยานผาน้ำย้อย (พุทธอุทยานอีสาน) ตั้งอยู่ที่บ้านโคกกลาง ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอ


ผาน้ำย้อยเป็นผาหินขนาดใหญ่ ซึ่งมีน้ำไหลตกและซึมตลอดปีอยู่บนภูเขาเขียว บ้านโคกกลาง ตำบลโคกสว่าง มีเนื้อที่ป่ารอบๆ บริเวณหน้าผาพื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่ เป็นป่าไม้เนื้อแข็งนานาชนิด นับเป็นป่าที่มีค่าและหายากยิ่ง มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่หลายชนิด เช่น หมูป่า เก้ง กวาง ไก่ป่า ฯลฯ ผาน้ำย้อยอยู่สูงจากระดับพื้นดินประมาณ 200 เมตร


 เป็นพระเจดีย์ที่ใหญ่องค์หนึ่งของประเทศไทย มีความกว้าง 101 เมตร ความยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร สร้างในเนื้อที่ 101 ไร่ เป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งตัวองค์พระธาตุได้แบ่งเป็น 5 ชั้น


สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี

เป็นโครงการสวนพฤกษศาสตร์ในวรรณคดีประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติดงมะอี่ ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 85 กม.มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ เป็นเนื้อที่สำหรับปลูกต้นไม้แบ่งตามวรรณคดี

กู่พระโกนา อำเภอสุวรรณภูมิ



ตั้งอยู่ที่บ้านกู่ วัดกู่พระโกนา หมู่ 2 ตำบลสระคู การเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ด เดินทางตามทางหลวงสาย 215 ผ่านอำเภอเมืองสรวง อำเภอสุวรรณภูมิ จากนั้นเข้าสาย 214 ไปประมาณ 12 กม.ถึงกู่พระโกนา ระยะทางประมาณ 60 กม.จากจังหวัด ร้อยเอ็ด




วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรียงความวันแม่

เรียงความวันแม่



            แม่ เป็นหนึ่งในไม่กี่คำ ที่เราไม่จำเป็นต้องเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หรือฉบับใดๆในโลก เพื่อค้นหาความหมาย เชื่อว่าแม่มีความหมายที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว นิยามของคำๆนี้ยิ่งใหญ่ทีสุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก
หลายครั้งหลายคราเวลาเราเห็นกลอนวันแม่ จะต้องมีการกล่าวถึงหรือเปรียบเทียบ คุณงามความดีของแม่ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป หากแต่ถามความรู้สึกโดยส่วนตัว ผมคิดว่า ไม่มีคำไหนเปรียบเทียบ คุณงามความดีของท่านได้เลย โดยเฉพาะแม่ของผม ท่านเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งที่งดงามที่สุด ทรงคุณค่าที่สุด และเก่งที่สุดสำหรับผม
หากต้องเล่าถึงประวัติความเป็นมาของสตรีหมายเลขหนี่งท่านนี้ คงไม่มีสถาบันหรือ รางวัลใดๆมารับรอง และการันตรีถึงคุณงามความดี ความรู้ความสามารถของท่านได้เลย ท่านมีเพียงปริญญาชีวิตที่เคยบอกเล่า สั่งสอนลูกของท่าน ให้รู้ซึ้งถึงความเหนื่อยยาก ลำบากของชีวิต ท่านเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต
เท่าที่ผมจำความได้ แม่ของผมมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายส้มตำ ทุกๆวันท่านต้องอยู่หน้าเตาร้อนๆยื่นย่างไก่ สับมะละกอ นึ่งข้าวเหนียว และอื่นๆอีกมากมาย ท่านเล่าให้ฟังว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ม๊าทำได้เพราะม๊าเรียนมาน้อยท่านบอกเสมอว่า ถึงท่านจะเรียนมาน้อยแต่ท่านจะไม่ยอมให้ลูกของท่านเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
           สำหรับผม แม่ค้าส้มตำ เป็นอาชีพที่ผมภาคภูมิใจที่สุด เพราะอาชีพนี้แหละที่ท่านทำจนส่งเสียผมเรียนจบปริญญาตรี ทุกครั้งที่มีคนถามว่าผมเป็นคนที่ไหน ที่บ้านทำอาชีพอะไร ผมจะตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าผมเป็นคนอิสาน บ้านอยู่ร้อยเอ็ด แม่ผมเป็นแม่ค้าขายส้มตำ
ครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็ก ช่วงสงกรานต์ ญาติพี่น้องคนอื่นๆเค้าขึ้นรถเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน แต่ตัวผมเองกลับไม่ได้ไปด้วย เพราะต้องช่วยที่บ้านทำงาน เคยเอ๋ยปากขอท่านนะ ว่าอยากไปเล่นน้ำ แต่ท่านบอกว่า ให้อยู่ช่วยท่านก่อน เพราะท่านไม่มีลูกจ้าง ทุกอย่างต้องช่วยกันทำ ในใจตอนนั้น รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก ที่ท่านไม่อนุญาตให้ไปเล่นน้ำ และในที่สุดผมก็แสดงกริยาที่ไม่ดีออกไป
               ผมจำไม่ได้หรอกว่าวันนั้นผมทำอะไรลงไป แต่ผลจากการกระทำในวันนั้น ท่านถึงกับน้ำตาไหล ผมโดนปะป๊าฟาด และให้ก้มลงกราบขอโทษแม่ของผมในทันที แม้ว่าตอนนั้นจะไม่รู้หรอกว่าทำผิดอะไร แต่วันนี้รู้สึกแย่ที่สุด ผมเป็นเด็กไม่ดี ทำให้น้ำตาแม่ไหล และนั้นเป็นหนึ่งในหลายครั้งที่ผมทำให้แม่ร้องไห้ทั้งที่เห็นและไม่เห็นก็ตาม
นั้นเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว และผมเองคงจะไม่พูดถึงครั้งอื่นๆที่ทำให้ท่านเสียใจแล้วหละ เพราะมันเหมือนเป็นการตอกย้ำความชั่วร้ายของตัวเอง แต่ก็ระลึกอยู่เสมอว่าผมจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ทุกวันนี้ผมเองก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อท่าน สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกท่านผู้หญิงที่ปารถนาดีที่สุดในชีวิตของผมก็คือท่าน ผู้หญิงที่มีความเมตตากรุณาที่สุดในชีวิตของผมก็คือท่าน ผู้หญิงคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต คือท่านอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ท่านคือสตรีหมายเลขหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมตลอดไป รักม๊าที่สุดในโลก